Logistics’s viewpoint
Threat and opportunity of the free trade area in the Asean +3 and Asean +6 groups
โอกาสและผลกระทบอันจะเกิดจากการเปิดตลาดการค้าเสรีภายใต้กรอบอาเซียน+3 และอาเซียน+6 : การปรับตัวและการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการโลจิสติกส์และผู้ประกอบการไทย
รองศาสตราจารย์ ดร. ทวีศักดิ์ เทพพิทักษ์
ศูนย์วิจัยโลจิสติกส์และการจัดการ มหาวิทยาลัยบูรพา
1. บทนำ
ครั้งหนึ่งเคยมีหน่วยราชการหนึ่งขออนุญาตไม่เอ่ยนามนะครับ เป็นกระทรวงที่เกี่ยวกับการค้าของประเทศเราน่ะครับเคยโทรมาถามความคิดเห็นกับผมว่าอาจารย์ทวีศักดิ์ อาจารย์คิดว่าประเทศไทยเราควรวางตำแหน่งยุทธศาสตร์หรือวางท่าทีในการเจรจาการค้าระหว่างประเทศอย่างไรเมื่อต้องเจรจาการค้าระหว่าง ASEAN+3 และ ASEAN+6 แล้วประเทศไทยเราควรเลือกแบบไหนและจะมีผลกระทบกับระบบเศรษฐกิจการค้าและการเมืองระหว่างประเทศไทยอย่างไร อืม เป็นคำถามที่ดีมากเลยครับ หลังจากเต้นฟุตเวริคสักพัก ผมก็เริ่มตอบแบบนักวิชาการหรือแบบที่ปรึกษาน่ะครับ คือตอบแบบกลางๆ ไม่มัดตัวเอง แต่คนถามก็พยายามคาดคั้นจะให้ชี้ว่าจะเอาแบบไหนกันแน่ ครับก่อนที่ตัวเองจะเข้าไปคลุกวงใน ผมรีบชิ่งเชือกออกมาก่อนว่า เดี๋ยวผมขออนุญาตศึกษาก่อนนะครับ ครับตอบแบบนักวิชาการน่ะครับ อย่าคิดมากครับ
เคยมีใครสงสัยหรือไม่ครับว่าทำไมมักจะมีคนพูดถึงอาเซียนหรือประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนกันบ่อยๆ นอกจากนี้ ยังมีศัพท์บางคำที่มักจะพูดถึง อาเซียนบวกสาม (ASEAN+3) อันได้แก่กลุ่มประเทศอาเซียน 10 ประเทศและกลุ่มประเทศที่ผมมักจะจำง่ายๆ ว่ากลุ่มประเทศหน้าหมวย ได้แก่จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้หรือ อาเซียนบวกหก (ASEAN+6) อันได้แก่กลุ่มประเทศอาเซียน 10 ประเทศและกลุ่มประเทศหน้าหมวย 3 ประเทศข้างต้นและที่ผมมักจะจำง่ายๆ ว่าเป็นกลุ่มประเทศหน้าแขกและหน้าฝรั่งได้แก่อินเดีย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์
ประเด็นคำถามคือทั้ง ASEAN+3 และ ASEAN+6 มันคืออะไรและต่างกันอย่างไร แล้วทำไมบางคนอยากให้เป็นอาเซียนบวกสามและบางคนอยากให้เป็นอาเซียนบวกหก ซึ่งไม่ว่าจะเป็นอาเซียนหรือบวกสามหรือบวกหก นอกเหนือจากเป้าหมายด้านเศรษฐกิจเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแล้ว ยังมีการเมืองระหว่างประเทศที่น่าสนใจมากหรือการคานอำนาจระหว่างพี่เบิ้มใหญ่ของเราสองประเทศคือสหรัฐอเมริกาและจีน เข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้ทิศทางการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศของประเทศเราเพิ่มดีกรีความร้อนแรงและมีการถ่วงดุลและคานอำนาจของสองมหาอำนาจของโลกผ่านกลุ่มประเทศต่างๆ ซึ่งต่างฝ่ายต่างมีประเทศพันธมิตรของกันและกันอย่างเหนียวแน่นซึ่งรายละเอียดผมจะได้เล่าให้ฟังในลำดับต่อๆ ไปครับ
นับตั้งแต่ปี 2549 ผู้นำอาเซียนมีนโยบายสนับสนุนการรวมกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนและขยายการเปิดตลาดโดยจัดทำความตกลงการค้าเสรีกับประเทศคู่ค้าที่มีศักยภาพเพิ่มขึ้น และทิศทางในอนาคตมีแนวโน้มที่จะทำความตกลงการค้าเสรีที่มีขนาดใหญ่ครอบคลุมกว้างขวางยิ่งขึ้นตามกระแสความสำคัญในการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจระหว่างกันในภูมิภาค (Regional integration) โดยผู้นำประเทศอาเซียนพยายามผลักดันให้มีการเจรจาการค้าเสรีร่วมกันระหว่างอาเซียน+3(จีน เกาหลี และญี่ปุ่น)และ อาเซียน+6 (จีน เกาหลี ญี่ปุ่น อินเดีย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์) ซึ่งประเทศดังกล่าวเป็นประเทศคู่เจรจากับอาเซียนอยู่แล้วในปัจจุบัน โดยขอบเขตการเจรจาควรครอบคลุมเรื่องสำคัญทางเศรษฐกิจ ได้แก่ การเปิดตลาดและการสร้างความร่วมมือด้านการค้าสินค้า การค้าบริการ และการลงทุน
อย่างไรก็ตาม การเจรจาเปิดตลาดภายใต้กรอบอาเซียน+3 และอาเซียน+6 นั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเจรจาของไทยจะต้องคำนึงถึงผลประโยชน์และผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการเปิดตลาดและการสร้างความร่วมมือด้านการค้าสินค้า การค้าบริการ และการลงทุนภายใต้ทั้ง 2 กรอบข้างต้นเป็นสำคัญจึงจำเป็นต้องวิเคราะห์ถึงผลประโยชน์และผลกระทบจากการจัดทำความตกลงฯ ทั้ง 2 กรอบดังกล่าวด้วย ผมได้ทำการศึกษาภาพรวมของโครงการวิจัยครั้งนี้โดยได้ตั้งประเด็นคำถามหลักที่สำคัญสองประการที่ต้องตอบคือการเปิดตลาดเสรีของอาเซียน+3 และอาเซียน+6 จะส่งผลกระทบด้านบวกและด้านลบต่อสินค้า บริการและการลงทุนของไทยสาขาใดบ้างและถ้ามีจะส่งผลกระทบอย่างไรและผู้ประกอบการไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันและปรับตัว รวมทั้งมีความพร้อมในการเปิดเสรีการค้าครั้งนี้หรือไม่ อย่างไร ทั้งนี้เนื่องจากถ้าประเมินมูลค่าการค้าระหว่างอาเซียน+3 และอาเซียน+6 จะพบว่ามีมูลค่าการค้าค่อนข้างเติบโตเพิ่มมากขึ้นและมีแนวโน้มจะเติบโตและขยายตัวเพิ่มมากขึ้นในทศวรรตหน้า
อย่างไรก็ตามกลุ่มประเทศอาเซียนและกลุ่มประเทศคู่ค้าทั้งกลุ่มประเทศบวกสามคือจีน เกาหลี และญี่ปุ่นและกลุ่มประเทศบวกหก คือจีน เกาหลี ญี่ปุ่น อินเดีย นิวซีแลนด์ และออสเตรเลีย ขณะที่การเปิดตลาดเสรีภายใต้กรอบอาเซียน+3 (จีน เกาหลี และญี่ปุ่น) และอาเซียน+6 (จีน เกาหลี ญี่ปุ่น อินเดีย นิวซีแลนด์ และออสเตรเลีย) ทั้งสองกลุ่มประเทศต่างเป็นกลุ่มประเทศที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจค่อนข้างดี ทั้งนี้หลายประเทศในกลุ่มประเทศคู่เจรจานั้น ไทยก็ได้มีการจัดทำเขตการค้าเสรีอยู่แล้ว อาทิ ความตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลียและความตกลงระหว่างราชอาณาจักรไทยและญี่ปุ่นสำหรับความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ เป็นต้น ขณะที่ไทยเองก็หาโอกาสในการเพิ่มมูลค่าทางการค้าหรือขยายตลาดระหว่างไทยกับกลุ่มประเทศในอาเซียนและประเทศคู่ค้า (บวกสามและบวกหก) ให้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้กลุ่มประเทศอาเซียนและอาเซียน+3 (จีน เกาหลี และญี่ปุ่น) และอาเซียน+6 (จีน เกาหลี ญี่ปุ่น อินเดีย นิวซีแลนด์ และออสเตรเลีย) เป็นประตูการค้าไปสู่กลุ่มตลาดการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศใหม่ ซึ่งจะสามารถทำให้ไทยขยายตลาดทางการค้าและเปิดโอกาสในการเชื่อมโยงการผลิตและการตลาดซึ่งกันและกันได้
ขณะเดียวกันประเทศคู่เจรจาเองก็อาจจะพิจารณาใช้ไทยเป็นประตูการค้าเพื่อขยายตลาดของตนมาสู่ภูมิภาคอาเซียนได้เช่นกัน อย่างไรก็ตามเพื่อประเมินความพร้อม ความเหมาะสมและผลกระทบสำหรับการเปิดตลาดการค้าเสรีภายใต้กรอบอาเซียน+3 และอาเซียน+6 และการกำหนดแนวทางการเจรจาที่เหมาะสมสำหรับไทย จึงควรมีการวิเคราะห์เปรียบเทียบโครงสร้างในมิติต่างๆ ระหว่างกลุ่มประเทศต่างๆ ในอาเซียน และกลุ่มประเทศอาเซียน+3 (จีน เกาหลี และญี่ปุ่น) และกลุ่มประเทศอาเซียน+6 (จีน เกาหลี ญี่ปุ่น อินเดีย นิวซีแลนด์ และออสเตรเลีย) เช่น โครงสร้างระบบเศรษฐกิจ โครงสร้างทางสังคมและการเมือง โครงสร้างทางกฎหมายและการดำเนินธุรกิจทั้งธุรกิจภายในประเทศและธุรกิจระหว่างประเทศ
การตรวจสอบและวิเคราะห์โครงสร้าง รูปแบบของความสัมพันธ์ทางด้านการค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับประเทศคู่เจรจาในด้านต่างๆ จะช่วยให้ทราบถึงความพร้อมและความเหมาะสมของไทยที่จะการเปิดตลาดการค้าเสรีภายใต้กรอบอาเซียน+3 และอาเซียน+6 และการกำหนดแนวทางการเจรจาเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดและลดผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นกับหลายสาขาที่เกี่ยวข้องของไทย ประเด็นที่สองที่เป็นสิ่งท้าท้ายสำหรับฝ่ายไทยคือไทยได้เปิดตลาดการค้าเสรีกับหลายประเทศ อาทิ ไทย-ออสเตรเลีย ไทย-จีนหรือไทย-นิวซีแลนด์ เป็นต้น ซึ่งการจับคู่ระหว่างไทยกับประเทศคู่เจรจาจะมีประเด็นรายละเอียดที่อาจจะแตกต่างกัน เช่นบางรายการอาจจะให้จีน แต่ไม่ได้ให้กับออสเตรเลีย เป็นต้น ประเด็นคำถามคือในการจับคู่ภายใต้กรอบอาเซียน+3 หรือกรอบอาเซียน+6 จะวางกรอบการเจรจาและแนวทางการเจรจาการเปิดตลาดเสรีอย่างไร รวมทั้งอะไรคือข้อดี-ข้อเสีย และประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากแต่ละรูปแบบและแนวทางของการเปิดตลาดและความร่วมมือทางเศรษฐกิจ และประเด็นที่สามคือมีความพร้อมและความเหมาะสมสำหรับไทยในการเปิดตลาดการค้าเสรีภายใต้กรอบอาเซียน+3 และอาเซียน+6 และการกำหนดท่าทีและแนวทางการเจรจาที่เหมาะสมสำหรับไทยหรือไม่
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการจัดตั้งเขตการค้าเสรีจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อเศรษฐกิจไทยทั้งระยะสั้นและระยะยาว เป็นการเพิ่มพันธมิตรนอกกลุ่มอาเซียนซึ่งจะเกื้อกูลซึ่งกันและกัน รวมทั้งมีการแบ่งปันผลประโยชน์เศรษฐกิจระหว่างกัน อย่างไรก็ตามไม่มีข้อตกลงใดๆ ที่จะก่อให้เกิดผลดีแต่เพียงด้านเดียว เพราะทุกข้อตกลงย่อมต้องเผชิญกับข้อจำกัดบางประการ เนื่องจากเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าการเปิดตลาดการค้าเสรีภายใต้กรอบอาเซียน+3 และอาเซียน+6 และการกำหนดแนวทางการเจรจาที่เหมาะสมสำหรับไทยจะทำให้การค้าและการลงทุนระหว่างประเทศสมาชิกภายในกลุ่มเพิ่มขึ้นและมีการขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจการค้าระหว่างกันระยะยาวซึ่งจะทำให้แต่ละประเทศหันไปเน้นผลิตหรือลงทุนเฉพาะสินค้าและบริการที่ตนได้เปรียบ เมื่อลดหรือยกเลิกข้อกีดกัน นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างพันธมิตรและช่วยเพิ่มอำนาจเจรจาต่อรองกับประเทศอื่นๆ รวมถึงสร้างแรงจูงใจให้เกิดการเคลื่อนย้ายทุนจากภายนอกเข้ามายังไทย นอกจากนี้การเปิดเสรีทางการค้ายังทำให้เศรษฐกิจของประเทศในกลุ่มมีความเชื่อมโยงซึ่งกันและกัน ทำให้ตลาดขยายขนาดที่ใหญ่กว่าเดิมและมีปริมาณกำลังซื้อเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งยังเป็นการขจัดอุปสรรคทางการค้าและการลงทุนระหว่างกัน อันนำไปสู่ต้นทุนการผลิตที่ลดลงทำให้ไทยสามารถส่งออกสินค้าเพื่อแข่งขันในตลาดโลกได้เพิ่มมากขึ้น
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ต้องพึงระวังเมื่อการเปิดตลาดการค้าเสรีภายใต้กรอบอาเซียน+3 และอาเซียน+6 สำหรับไทยก็คือถ้าทั้งสองประเทศมีโครงสร้างการนำเข้าและการส่งออกสินค้าเหมือนหรือคล้ายกันจะทำให้เกิดการแข่งขันรุนแรงเพิ่มขึ้น รวมทั้งก่อให้เกิดการแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดซึ่งอาจจะนำไปสู่ความขัดแย้งทางการค้าในที่สุด ดังนั้นการศึกษาครั้งนี้ได้ทำการประเมินผลกระทบเชิงปริมาณของการนำเข้าและส่งออกของกลุ่มอุตสาหกรรมและแต่ละสาขาการผลิตที่มีต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม โดยเฉพาะผลกระทบที่มีต่อเป้าหมายทางเศรษฐกิจมหภาคโดยใช้แบบจำลอง Global Trade Analysis Project หรือแบบจำลอง GTAP ซึ่งเป็นแบบจำลองที่ใช้สมการทางเศรษฐศาสตร์มาจำลองพฤติกรรมและกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศ ผลที่ได้รับจากการตรวจสอบและการประเมินจะช่วยให้ผู้ที่เกี่ยวข้องสามารถสรุปประเด็นปัญหาและอุปสรรคของการจัดทำเขตการค้าเสรีรวมทั้งศึกษาประโยชน์และข้อจำกัดที่ไทยจะได้รับตลอดจนผลกระทบด้านอื่นๆ ทางปฏิบัติ ซึ่งจะนำไปสู่การกำหนดทิศทางและแนวทางในการพัฒนาความสามารถในการแข่งขันของสาขาการผลิตรายกลุ่มและรายสาขาการผลิต
รูปที่ 1 แผนผังขั้นตอนของการศึกษา
2. ประเด็นที่ท้าทายสำหรับผู้ประกอบการไทย
โดยทั่วไป การศึกษาครั้งนี้จะได้กำหนดขอบเขตและประเด็นคำถามสำหรับการวิจัยเพื่อให้การศึกษาครั้งนี้มีแนวทางที่ชัดเจนและมุ่งที่จะตอบคำถามมากยิ่งขึ้น โดยกำหนดวัตถุประสงค์และขอบเขตของการศึกษาให้ชัดเจนและปรับให้ตรงกันภายในทีมวิจัยเสียก่อน โดยจะทำความเข้าใจคอนเซปหรือกรอบแนวคิดและจะต้องมีการกำหนดเป้าหมายก่อนว่าจะทำการศึกษาเพื่ออะไร ซึ่งการศึกษาวิจัยครั้งนี้ก็เช่นกันได้มีการกำหนดเป้าหมายของการศึกษาวิจัยไว้ และมีการกำหนดคำถามสำหรับการวิจัยขึ้นมา หลังจากนั้นก็ทำการออกแบบขั้นตอนหรือกระบวนการวิจัยเพื่อที่จะหาคำตอบสำหรับคำถามที่ต้องการทราบ ซึ่งการดำเนินงานข้างต้น นอกจากจะช่วยให้มองเห็นภาพและเข้าใจสถานการณ์ที่ชัดเจนมากขึ้นแล้วยังช่วยให้สามารถกำหนดหรือตีกรอบขอบเขตของปัญหาให้อยู่ในรูปของตัวแปรที่สามารถวัดค่าได้
สำหรับโครงการศึกษาครั้งนี้จะได้กำหนดคำถามสำหรับการวิจัยซึ่งสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่ได้กำหนดไว้ ตามกรอบการศึกษาของการวิจัยฯโดยกำหนดไว้ 9 ข้อหลัก ดังนี้
- ภาพรวมความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุนระหว่างไทยกับประเทศคู่เจรจาทั้งใน
กลุ่มประเทศอาเซียน+3 (จีน เกาหลี และญี่ปุ่น) และกลุ่มประเทศอาเซียน+6 (จีน เกาหลี ญี่ปุ่น อินเดีย นิวซีแลนด์ และออสเตรเลีย) รวมทั้งความร่วมมือสำคัญด้านเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุน ที่ไทยกับประเทศคู่เจรจา มีการจัดทำระหว่างกันเป็นอย่างไรและมีขีดความสามารถในการแข่งขันในระดับใด
- สถานะปัจจุบันในเทอมของขีดความสามารถในการแข่งขัน ความพร้อมและความสามารถ
ในการปรับตัวต่อการเปิดตลาดการค้าเสรีภายใต้กรอบอาเซียน+3 และอาเซียน+6 ของผู้มีส่วนได้เสียของไทย อาทิ หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน โดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของไทย เป็นต้นเป็นอย่างไรและมีขีดความสามารถในการแข่งขันเมื่อเทียบกับประเทศคู่เจรจาในระดับใด
- ปัจจัยอะไรที่มีอิทธิพลหรือส่งผลกระทบต่อการเปิดตลาดการค้าเสรีภายใต้กรอบอาเซียน+3
และอาเซียน+6 ของไทยกับประเทศคู่เจรจา
- อะไรคือนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนระหว่างประเทศของประเทศคู่
เจรจา รวมทั้งนโยบาย กฎระเบียบ วิธีปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับการค้าสินค้า บริการและการลงทุนระหว่างประเทศที่สำคัญของประเทศคู่เจรจา
5. อะไรคือรูปแบบของการเปิดเสรีและความร่วมมือทางเศรษฐกิจและแนวทางที่เหมาะสมสำหรับประเทศไทยที่คาดว่าจะนำมาใช้เมื่อมีการเปิดตลาดการค้าเสรีภายใต้กรอบอาเซียน+3 และอาเซียน+6 สำหรับไทยกับประเทศคู่ค้า
6. ถ้าจะมีการเปิดตลาดการค้าเสรีภายใต้กรอบอาเซียน+3 และอาเซียน+6 ฝ่ายไทยควรจะกำหนดท่าทีและมีแนวทางการเจรจาอย่างไร โดยเฉพาะสาขาที่ไทยอาจจะได้รับผลกระทบและควรมีมาตรการรองรับอย่างไร
7. ผู้ที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ ควรเตรียมตัวและปรับตัวอย่างไรเพื่อให้เกิดผลกระทบด้านลบน้อยที่สุด รวมทั้งเพื่อให้ได้รับประโยชน์จากการเปิดตลาดการค้าเสรีภายใต้กรอบอาเซียน+3 และอาเซียน+6 มากที่สุด
8. กรอบหรือเงื่อนเวลา (Timing) ที่เหมาะสมในการเปิดตลาดการค้าเสรีภายใต้กรอบอาเซียน+3 และอาเซียน+6 และการกำหนดแนวทางการเจรจาที่เหมาะสมสำหรับไทยสำหรับผู้นำเข้า-ส่งออก นักลงทุนโดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมในแต่ละสาขาและอุตสาหกรรมควรเป็นอย่างไร
9. เพื่อให้เกิดความพอใจระหว่างประเทศไทยและประเทศเจรจา (Win-Win Strategy) และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย ภาครัฐและภาคอุตสาหกรรมของไทยควรดำเนินการหรือมีมาตรการอย่างไร
3. บทสรุป
ขณะที่วัตถุประสงค์ของการศึกษาครั้งนี้ของผมคือเพื่อศึกษาผลกระทบด้านบวกและลบของประเทศไทยและสาขาธุรกิจที่สำคัญของไทยที่อาจเกิดขึ้นจากการเปิดตลาดเสรีภายใต้กรอบอาเซียน+3 (จีน เกาหลี และญี่ปุ่น) และอาเซียน+6 (จีน เกาหลี ญี่ปุ่น อินเดีย นิวซีแลนด์ และออสเตรเลีย) ในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ทั้งในระยะสั้นและในระยะยาว และเพื่อศึกษาแนวทางการเจรจาการค้าของไทยในอนาคตภายใต้ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน+3 และอาเซียน+6โดยครอบคลุมการเปิดตลาดและการสร้างความร่วมมือด้านการค้าสินค้า การค้าบริการ และการลงทุน และประเมินผลกระทบด้านบวกและลบที่จะเกิดขึ้น เพื่อนำมาประกอบการเตรียมการเจรจาของไทย รวมทั้งเพื่อเสนอกรอบการเจรจาที่เหมาะสมสำหรับรัฐบาลและมาตรการรองรับผลกระทบต่อหน่วยงานภาคเอกชนและภาครัฐ และเสนอมาตรการรองรับผลกระทบที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม
ผมหวังว่าการศึกษาครั้งนี้จะสร้างประโยชน์แก่หน่วยงานที่ใช้ข้อมูลนี้สำหรับการเตรียมตัวและการปรับตัวต่อการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจของภูมิภาคของเราโดยทำให้ทราบผลจากการศึกษาว่าไทยจะได้ประโยชน์และผลกระทบด้านบวกและลบในสาขาธุรกิจที่สำคัญของไทยจากการจัดทำความตกลงการค้าเสรีอาเซียน+3 / อาเซียน+6 โดยมีการระบุมูลค่าการค้าและกลุ่มผู้ได้ประโยชน์และกลุ่มผู้เสียประโยชน์ นอกจากนี้ ทำให้ทราบแนวทางการเจรจาการค้าของไทยในอนาคตภายใต้ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน+3 / อาเซียน+6 โดยครอบคลุมด้านการค้าสินค้า การค้าบริการ และการลงทุน และประเมินผลกระทบด้านบวกและลบที่จะเกิดขึ้นและทำให้มีกรอบการเจรจาที่ได้รับการยอมรับและรัฐจะพิจารณาใช้เป็นแนวทาง และมีการจัดทำลำดับมาตรการรองรับผลกระทบของหน่วยงานภาคเอกชนและภาครัฐที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม