เป้าหมาย “ความสุข” … ด้วยดัชนี 3 ตัวชี้วัด

Guru Vision

Happiness succeed with 3 performance indicators

เป้าหมาย “ความสุข” …  ด้วยดัชนี 3 ตัวชี้วัด

ฐิติมา ตันติกุลสุนทร

ในการทำงานหลายคนคุ้นเคยกับดัชนีชี้วัดหรือที่เรียกกันว่า KPI ย่อมาจาก Key Performance Indicator ใช้เป็นเครื่องมือวัดผลงานว่าในเดือนที่ผ่านมานั้น  สามารถบรรลุเป้าหมายได้มากน้อยแค่ไหน ส่วนใหญ่มักกำหนด KPI กันทุกปี และในปีถัดไปก็ตั้ง KPI ให้สูงขึ้นกว่าของเดิม เพราะปีหนึ่งผ่านไป แน่นอนว่าความรู้ความสามารถในการทำงานต้องเพิ่มขึ้น มีทักษะและความชำนาญมากขึ้น การตั้ง KPI สูงขึ้นทุกๆปี จึงกลายเป็นความท้าทายและความตื่นเต้น สำหรับการเริ่มต้นปีใหม่ทุกๆ ปี เมื่อการทำงานมีเครื่องมือ KPI ชี้วัดผลงานแล้ว คนทำงานก็น่าจะมี KPI ชี้วัดความสุข ด้วยเหมือนกัน แล้วความสุขนั้นจะจับมาวัดกันได้อย่างไร

ปฏิบัติการ … สร้างใบหน้าเปื้อนยิ้ม

มาตั้งเป้าความสุขง่ายๆ ด้วยการยิ้ม โดยลองตั้งข้อสังเกตุว่า คนที่มีอุปนิสัยยิ้มง่าย จะมีความสุขได้มากกว่า ด้วย เพราะเป็นคนอารมณ์ดี การยิ้มมาจากความรู้สึกดี หลายๆ หน่วยงานสอนให้พนักงานยิ้มก่อนรับโทรศัพท์ โดยวางกระจกขนาดเล็กไว้ตรงหน้า รับสาย…มองกระจก…ยิ้ม ทำให้คนฟังที่อยู่ในสายรู้สึกดี รู้ว่าผู้พูดยินดีให้บริการ คนไทยรู้ธรรมชาติของการยิ้มเป็นอย่างดี รู้ว่าเมื่อเจอหน้า สบตา ทักทาย และส่งยิ้มให้แล้ว มักจะได้รับยิ้มตอบ จึงเป็นชาติที่โดดเด่นเรื่องการยิ้มเมื่อเดินเข้าออฟฟิตในตอนเช้า สามารถเริ่มต้นวันใหม่ ด้วยการทักทายกันด้วยรอยยิ้ม เจอเพื่อนพนักงานต่างชั้น ต่างแผนก ก็สามารถยิ้มให้กันได้

แม้บางคราวที่ต้องเจอกับปัญหาก็ลองใช้รอยยิ้มเข้าสู้ ปัญหาก็ยังคงเป็นปัญหาอยู่ แต่ขนาดของปัญหาจะลดลง รอยยิ้มจะทำหน้าที่ผ่อนคลาย และเป็นเกราะป้องกันการแตกแยก  ขยายตัว ไม่ทำให้ปัญหาลุกลามใหญ่โต แต่ทำให้ปัญหานั้นคลี่คลายได้ง่ายขึ้น เมื่อปัญหาลดลงแล้ว ความสุขจะเข้ามาแทนที่ ให้การยิ้มเป็นดัชนีตัวชี้วัดความสุข “เรามาตั้งใจสร้างใบหน้าเปื้อนยิ้มด้วยกัน ยิ้มได้มากเท่าไหร่… ความสุขก็มากขึ้นเท่านั้น และในแต่ละวัน เราจะร่วมกันปฏิบัติการ … สร้างใบหน้าเปื้อนยิ้ม ให้กระจายไปพร้อมกัน” J

กระบวนการ … ใส่คำพูดเชิงบวกให้กันเสมอ

การมีคำพูดดีๆ ออกไป นอกจากเป็นการแสดงความสุภาพ อ่อนน้อมแล้ว ยังเป็นมารยาทที่ทำให้คนสวยขึ้น หล่อขึ้นในทันใด สังคม ส่วนรวม และองค์กร อาศัยมารยาทเรื่องการพูดดีนี้ ทำให้คนยอมรับนับถือกัน แสดงถึงการให้เกียรติกัน คำพูดดีๆ ช่วยสร้างสรรให้เกิดความรู้สึกดีๆ สร้างแรงบันดาลใจ ก่อให้เกิดพลังใจอัน ฮึกเหิมที่จะทำสิ่งดีๆ ต่อไป คนที่คิดและสามารถพูดสิ่งดีๆ ออกมานั้น ในใจจะต้องเต็มไปด้วยความรู้สึกดีๆ มีความปรารถนาดี เช่น คำชมอย่างจริงใจ การพูดทักทายและอวยพรดีๆ การถามไถ่อย่างห่วงใยกัน การรับฟังและปลอบโยนเมื่อมีปัญหา การขอบคุณอย่างซาบซึ้งจากผู้ได้รับ การพูดให้กำลังใจกันด้วยคำพูดที่กลั่นออกมาจากใจ แม้การตำหนิติเตียน ก็สามารถเลือกหาคำพูดดีๆ มาใช้ จะได้รับผลดีกว่าและไม่ไปทำร้ายผู้อื่นอีกด้วย กลายเป็นความรู้สึกดีๆ ที่เรียกว่าความสุข … ง่ายๆ ดีๆ นี่เอง ที่ผู้พูดและผู้ฟังรับกันไปพร้อมกัน

สังคมสมัยใหม่ ผู้คนรักความอิสระ แต่บางครั้งอาจหลงลืมไปว่า อิสระของเราไปเบียดเบียนผู้อื่นบ้างหรือไม่ หากไปเจอนักวิพากษ์วิจารณ์ที่คอยแต่จ้องตำหนิผู้อื่น ก็ควรหยุดพฤติกรรมนั้น ไม่สนับสนุนให้ความคิดด้านลบแผ่ขยายเป็นวงกว้าง โดยการให้ข้อมูลจริง อธิบาย หากไม่ได้ผลก็แปลว่า ไม่ใช่แล้ว เป็นคนละพวกกัน ไม่ควรคบหาหรือเอาหูออกห่างกันไป คนไม่เหมือนกันจะไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้ คำพูดดีๆ เชิงบวกเท่านั้นที่ไม่เคยทำร้ายและทำลายใคร โดยตามธรรมชาติแล้ว มนุษย์ทุกคนอยากได้ยินคำพูดดีๆ เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ไม่ควรมีคำพูดแย่ๆ ออกจากปากใครเลย การอยู่ใกล้ๆ และแวดล้อมไปด้วยคนที่คิดดี พูดดี จะดึงดูดและได้รับพลังดี พลังบวกเข้ามาด้วย นำมาเสริมความคิดให้ดีและบวกมากยิ่งๆ ขึ้น พลังบวกมากๆ ส่งผลให้เกิดความสบายใจ ซึ่งมาพร้อมความสุข “ให้คำพูดดีๆ เชิงบวกอยู่ในกระบวนการคิดและพูดมากขึ้นเท่าไหร่ ความสุขและความสบายใจของผู้คนก็มากยิ่งขึ้นเท่านั้น “

สร้างกลยุทธ์ … ด้วยการขอบคุณ

ไม่น่าเชื่อว่าการขอบคุณจะสามารถเป็นตัวชี้วัดความสุขได้ด้วย ในความเป็นจริงแล้ว ความสุขเป็นสิ่งที่หาได้โดยง่าย สัมผัสได้จากธรรมชาติ พื้นฐานจิตใจ เมื่อเกิดความรู้สึกขอบคุณ ใจจะซาบซึ้ง เกิดจากความรู้สึกดีๆ ความสุขดีๆนี่เอง เมื่อใจมองหาแต่เรื่องดีๆ ก็จะพบและเห็นแต่ด้านดี ใจเลือกแล้วว่าจะทำอย่างตั้งใจที่จะขอบคุณ ..ขอบคุณ ..ขอบคุณ  ในที่ทำงานมีเรื่องให้ขอบคุณได้มากมายทีเดียว ขอบคุณเพื่อนร่วมงานเมื่อเพื่อนทำอะไรให้ แม้เพียงเรื่องเล็กๆ ทำให้สัมพันธภาพ และมิตรภาพแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น รู้สึกดี ขอบคุณหัวหน้า เมื่อโดนเรียกไปสอนงาน มอบหมายงานใหม่ๆ เป็นการแสดงความไว้วางใจ ความเชื่อใจ รู้สึกไว้ใจ ขอบคุณลูกน้องที่ร่วมงานและคอยช่วยเหลืองานเป็นอย่างดี ทำให้ลูกน้องมีความรู้สึกที่ดี เกิดขวัญกำลังใจ เข้าใจถึงความสำคัญของตัวเองและตั้งหน้าทำงานต่อไป รู้สึกเบาใจ เลยไปถึงพนักงานรับ-ส่งเอกสาร และแม่บ้าน ก็อย่าลืมขอบคุณ

เคยได้ยินมาว่า “ การขอบคุณเป็นพลังบวก ทำให้คนเปลี่ยนนิสัย พฤติกรรมและทัศนคติ ถ้าเราคิดจะขอบคุณวันละร้อยเรื่อง มันทำให้เกิดประจุบวกบนหัวเยอะแยะมากมาย ทำให้มุมมองเปลี่ยนไป ทุกอย่างกลายเป็นบวก” ถ้าขอบคุณจำนวนร้อยคำมากเกินไป ลองหาเรื่องขอบคุณให้ได้ 5 เรื่อง แล้วลงมือทำทุกวัน แน่นอนว่าความรู้สึกขอบคุณนั้นจะทำให้เกิดความสุขขึ้นโดยไม่รู้ตัว เริ่มใช้กลยุทธ์การขอบคุณให้บ่อยครั้งมากขึ้น ความรู้สึกดีๆ เบาๆ สบายๆ ที่เรียกว่าความสุข ก็จะเพิ่มแบบทวีคูณมากยิ่งๆ ขึ้นเท่านั้น

เชื่อแน่ว่าทุกคนสามารถตั้งเป้าความสุขได้ 100% เพียงแค่รู้ความต้องการ ด้วยตัวชี้วัดง่ายๆ 3 ตัว เริ่มปฏิบัติการ สร้างใบหน้าเปื้อนยิ้มตั้งแต่เช้า มีคำพูดดีๆ เชิงบวกตลอดวัน และทบทวนกลยุทธ์การขอบคุณทุกคืนก่อนนอน ก็จะทำให้แผนปฏิบัติการความสุขบรรลุเป้าหมายได้อย่างแน่นอน หวังให้ทุกคนมีความสุข และขอขอบคุณผู้อ่านด้วยรอยยิ้มค่ะ

You can leave a response, or trackback from your own site.

Leave a Reply