TLAP’s Talk
Experience in logistics supply chain development in production, distribution and sales of consumer products
ประสบการณ์การพัฒนาระบบ Logistics Supply Chain ในธุรกิจการผลิต จัดจำหน่ายและค้าปลีกสินค้าอุปโภคบริโภค
กันติชา บุญพิไล
ธุรกิจค้าปลีกคืออะไร??…
ประเภทธุรกิจค้าปลีก
ธุรกิจค้าปลีกได้พัฒนาเปลี่ยนจากร้านค้าเล็กๆ เป็นขนาดใหญ่ มีต้นทุนดำเนินงานสูงกว่ารูปแบบเดิม บริหารงานเป็นระบบมากขึ้น และใช้บุคลากรดำเนินการจำนวนมาก ปัจจุบันสามารถจำแนกธุรกิจค้าปลีกได้ตามลักษณะสินค้าและการดำเนินงาน ดังนี้
ร้านค้าปลีกดั้งเดิม (Tradition Trade) หรือร้านโชห่วย ลักษณะร้านเป็นห้องแถว พื้นที่คับแคบ ไม่มีการตกแต่งหน้าร้านมากมาย สินค้าส่วนใหญ่เป็นสินค้าอุปโภคบริโภค การจัดวางสินค้าไม่เป็นหมวดหมู่ และไม่ทันสมัย และจัดวางตามความสะดวกการหยิบสินค้า
เป็นกิจการดำเนินงานโดยเจ้าของคนเดียว หรือร่วมกันตั้งเป็นห้างหุ้นส่วน ดำเนินธุรกิจแบบครอบครัว เงินลงทุนน้อย บริหารงานง่ายๆ ไม่ซับซ้อน ไม่มีการใช้เทคโนโลยีทันสมัย ทำให้ระบบการจัดการไม่ได้มาตรฐาน ลูกค้าเกือบทั้งหมดอยู่บริเวณใกล้เคียงร้านค้า ร้านค้าที่จัดอยู่ประเภทนี้ เช่น ร้านค้าส่ง ร้านค้าปลีกทั่วไป ร้านขายของชำ
ร้านค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) ประกอบด้วย ห้าง/ร้านขนาดกลาง-ใหญ่ ออกแบบร้าน และจัดวางสินค้าเป็นหมวดหมู่ เพื่อความสวยงาม และเป็นระเบียบ บริการทันสมัย เพื่อดึงดูดลูกค้าใช้บริการมากขึ้น การดำเนินธุรกิจ มีทั้งแบบครอบครัวและมืออาชีพ ลงทุนสูงขึ้น และระบบจัดการบริหารงานซับซ้อนมากขึ้น ธุรกิจการค้าแบบใหม่นี้ ประกอบด้วย กลุ่มธุรกิจ 2 รูปแบบ คือ Discount Store หรือ Hypermarket ซึ่งเน้นสินค้าราคาถูก และ Convenience Store ซึ่งเน้นจำนวนสาขา ความสะดวกสบาย สถานที่ตั้งอยู่ใกล้กับผู้บริโภค เปิดบริการตลอด 24 ชั่วโมง ธุรกิจรูปแบบนี้ เข้ามาในไทยในช่วงต้นของ 1990 ทั้งมีลักษณะร่วมทุนต่างชาติ และนักลงทุนชาวไทยเป็นเจ้าของ ทว่าผลพวงเกิดวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 และผลกระทบเปิดเสรีการค้า ส่งผลธุรกิจค้าปลีกส่วนใหญ่ในไทยตกเป็นของชาวต่างชาติ ธุรกิจที่จัดอยู่ในค้าปลีกประเภทนี้ ได้แก่
ห้างสรรพสินค้า (Department Store) ร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ เป็นศูนย์รวมสินค้าทุกชนิดที่มีคุณภาพ เพื่อจำหน่ายให้ลูกค้าจำนวนมาก ทุกระดับ ครบวงจร (One Stop Shopping) จัดวางสินค้า แบ่งเป็นหมวดหมู่ชัดเจน เพื่อสะดวกการค้นหาและเลือกซื้อ เน้นจำหน่ายเสื้อผ้า เครื่องสำอาง รองเท้า กระเป๋า รูปแบบบริหาร และจัดการ ค่อนข้างซับซ้อน พนักงานมาก และเน้นบริการที่สะดวก รวดเร็ว สร้างความประทับใจให้ลูกค้า ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนทำงานที่มีฐานะ อำนาจซื้อสูง สามารถเลือกซื้อสินค้าคุณภาพ และราคาสูงได้ สถานที่ตั้ง จะอยู่บริเวณชุมชน หรือเป็นศูนย์รวมการค้า ผู้ประกอบการประเภทนี้ เช่น ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล เดอะมอลล์ โรบินสัน เป็นต้น
ซูเปอร์เซ็นเตอร์ (Supper Center) ร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ พัฒนาจากซูเปอร์มาร์เก็ต และห้างสรรพสินค้า พื้นที่ขายประมาณ 10,000-20,000 ตารางเมตร เน้นจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคที่หลากหลายและมีมาก ราคาประหยัด คุณภาพสินค้า ตั้งแต่คุณภาพดีจนถึงคุณภาพปานกลาง ส่วนใหญ่กว่า 60% เป็นอาหาร ลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย เป็นกลุ่มระดับปานกลางลงมา ผู้ประกอบการประเภทนี้ เช่น บิ๊กซี เทสโก้โลตัส เป็นต้น
ซูเปอร์มาร์เก็ต (Supermarket) ร้านค้าปลีกเน้นจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค เป็นสินค้าสดใหม่ โดยเฉพาะอาหารสด เช่น เนื้อสัตว์ ผักและผลไม้ อาหารสำเร็จรูปต่างๆ ตลอดจนสินค้าอุปโภคบริโภคจำเป็นต่อชีวิตประจำวัน ทำเลที่ตั้งส่วนใหญ่ จะอยู่ชั้นล่างห้างสรรพสินค้า เพื่อความสะดวกขนถ่ายสินค้า ตัวอย่างผู้ประกอบการประเภทนี้ เช่น ท็อปส์ซูเปอร์มาร์เก็ต ฟู้ดแลนด์ เป็นต้น
ร้านค้าเงินสดและบริการตนเอง (Cash & Carry) จำหน่ายสินค้าให้ร้านค้าย่อย หรือบุคคลที่ต้องการซื้อสินค้าคราวละจำนวนมาก ราคาขายส่ง หรือราคาค่อนข้างต่ำ ซึ่งจะเอื้อต่อร้านค้าย่อย หรือร้านโชห่วย หาสินค้ามาจำหน่ายได้เพิ่มขึ้น โดยไม่ต้องผ่านยี่ปั๊ว ซาปั๊ว จำหน่ายสินค้าคุณภาพปานกลาง ส่วนใหญ่กว่า 60% เป็นสินค้าไม่ใช่อาหาร ที่เหลือเป็นอาหาร ลูกค้ายังสามารถสมัครเป็นสมาชิก เพื่อรับข่าวสารเป็นประจำ ที่สำคัญลูกค้าต้องบริการตัวเอง จึงมีพนักงานไม่มากนัก ผู้ประกอบการประเภทนี้ เช่น แม็คโคร
ร้านค้าเฉพาะอย่าง (Specialty Store) จำหน่ายสินค้าเฉพาะอย่าง เน้นสินค้าอุปโภคบริโภคเกี่ยวกับเวชภัณฑ์ เครื่องสำอาง ดูแลผิว ดูแลเส้นผม เป็นสินค้าหลากหลาย ตามลักษณะแฟชั่นและยุคสมัย สินค้าคุณภาพสูง บริการสะดวกและทันสมัย กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย คือลูกค้าทั่วไป ผู้ประกอบการประเภทนี้ เช่น บู๊ทส์ วัตสัน เป็นต้น
ร้านค้าประชันชนิด (Category Killer) พัฒนาจากร้านขายสินค้าเฉพาะประเภท จุดเด่นคือ สินค้าครบถ้วนประเภทนั้นๆ คล้ายแยกแผนกใดแผนกหนึ่งในห้างสรรพสินค้าออกไว้ต่างหาก นำสินค้าคุณภาพ และลักษณะใช้งานใกล้เคียงกัน แต่ราคาและยี่ห้อต่างกัน จัดวางประชัน เพื่อให้ผู้บริโภคเปรียบเทียบคุณภาพ และราคาสินค้า ผู้ประกอบการประเภทนี้ ได้แก่ พาวเวอร์บาย พาวเวอร์มอลล์ ซูเปอร์สปอร์ต เป็นต้น
ร้านสะดวกซื้อ (Convenience Store) หรือ Minimart ร้านค้าปลีกพัฒนาจากร้านค้าปลีกแบบเก่า หรือร้านขายของชำผสมผสานกับซูเปอร์มาร์เก็ต แต่ขนาดเล็กกว่า ให้ความสำคัญทำเลที่ตั้งร้านค้าเป็นสำคัญ พื้นที่ค้าขายไม่มากนัก ส่วนใหญ่จำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคจำเป็นต่อชีวิตประจำวัน รวมทั้งอาหารและเครื่องดื่มประเภทอาหารจานด่วน สั่งเร็วได้เร็ว สะดวก ราคาไม่แพงเกินไป ทำเลตั้งแหล่งชุมชน สถานีบริการน้ำมัน มีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายส่วนใหญ่เป็นลูกค้าที่ต้องการความสะดวก ต้องการซื้อสินค้าใกล้บ้านหรือใกล้สถานที่ทำงาน และที่สำคัญเปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง ผู้ประกอบการประเภทนี้ เช่น 7-eleven และ Family Mart เป็นต้น
สินค้าอุปโภคบริโภค คืออะไร…
ประเภทสินค้าอุปโภคบริโภค (Consumer Goods)
สินค้าอุปโภคบริโภค คือ สินค้าที่ขายไปยังผู้บริโภคคนสุดท้าย (Ultimate Consumer) ที่ซื้อไปเพื่อสนองความต้องการของตนเองหรือบุคคลในครัวเรือน สินค้าอุปโภคบริโภค มีมากมายหลายชนิด เช่น อาหาร เสื้อผ้า รถยนต์ โทรทัศน์ ตู้เย็น พัดลม เป็นต้น ส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าที่ผ่านกระบวนการผลิตจนเป็นสินค้าสำเร็จรูปแล้ว ผู้บริโภคสามารถนำไปบริโภคได้ทันที
การแบ่งประเภทสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งมีจำนวนมากมายมหาศาลนั้น เป็นเรื่องที่กระทำได้ยากมาก อาจจะกล่าวได้ว่ายังไม่มีระบบใดที่ถือได้ว่าดีที่สุดหรือถูกต้องที่สุด ในการแบ่งประเภทสินค้า วิธีที่ได้รับความนิยมมากที่สุดได้แก่ การแบ่งโดยถือเอาพฤติกรรมในการซื้อของผู้บริโภคเป็นหลัก ซึ่งแบ่งออกได้ 4 ประเภท คือ
1. สินค้าที่ซื้อหาโดยสะดวก (Convenience Goods)
สินค้าที่ซื้อหาโดยสะดวก (Convenience Goods) คือ สินค้าที่ผู้บริโภคหาซื้อได้ทั่วๆ ไป ที่มีราคาต่อหน่วยค่อนข้างต่ำ ถ้าเปรียบเทียบกับสินค้าประเภทอื่น เป็นสินค้าที่หาซื้อได้ง่าย และผู้บริโภคมีความจำเป็นต้องใช้ประจำ ไม่ต้องใช้ความพยายามในการเสาะแสวงหา หรือเลือกเฟ้นมากนัก สินค้าประเภทนี้ ได้แก่ สินค้าที่มีลักษณะดังนี้
(1) ผลิตภัณฑ์ประเภทอาหาร เช่น ข้าวสาร อาหารกระป๋อง เครื่องดื่ม น้ำมันพืช น้ำตาลทราย เป็นต้น
(2) เครื่องใช้ในครัวเรือน เช่น ถ้วย ชาม จาน ช้อน น้ำยาล้างจาน เป็นต้น
(3) อาจจะเป็นของใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น สบู่ ยาสีฟัน แปรงสีฟัน ผงซักฟอก แชมพูสระผม กระดาษชำระ แป้ง เครื่องสำอาง เป็นต้น
สินค้าเหล่านี้จะมีการซื้อใช้เป็นประจำอย่างต่อเนื่องกันจนกลายเป็น ความเคยชิน การซื้อแต่ละครั้งตามความจำเป็น หรือความต้องการโดยไม่ต้องใช้ความพยายามในการซื้อมากนัก
สินค้าที่ซื้อหาโดยสะดวกนี้ แบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท คือ
(1) สินค้าที่ซื้อใช้เป็นประจำ (Staple Goods) เป็นสินค้าที่ต้องใช้ประจำใช้หมดแล้วต้องมีการซื้อใหม่และซื้อใช้บ่อย เช่น หนังสือพิมพ์ สบู่ ยาสีฟัน แปรงสีฟัน ข้าวสาร น้ำมันพืช เป็นต้น
(2) สินค้าที่ซื้อขณะจำเป็นต้องใช้ (Emergency Goods) เป็นสินค้าที่ผู้บริโภคซื้อโดยมีความต้องการรีบด่วนและต้องการใช้ทันทีทันใด จำเป็นต้องเสาะแสวงหาสินค้านั้นๆ มาใช้ประโยชน์ทันที ตัวอย่างของสินค้าประเภทนี้ได้แก่ ยาขณะที่เกิดเจ็บป่วยไข้ รถพยาบาลขณะที่มีผู้ป่วยฉุกเฉิน ร่มในขณะที่ฝนตก
(3) สินค้าที่ซื้อจากความพึงพอใจในขณะนั้น (Impulse Goods) เป็นสินค้าที่ผู้ซื้อ ซื้อโดยมิได้มีการวางแผนหรือคิดไว้ก่อนแต่อย่างใด เป็นสินค้าที่ผู้บริโภคคิดตัดสินใจซื้อเมื่อได้มองเห็นสินค้าแล้วเกิดความต้องการสินค้าประเภทนี้ ผู้ขายมักจะนำมาจัดวางไว้ตรงทางเข้าหรือทางออกของร้าน และโดยเฉพาะใช้ช่วงทางออกเพื่อชำระเงิน จะทำให้ผู้บริโภคมองเห็นแล้วเกิดความต้องการซื้อ เช่น ลูกอม หมากฝรั่ง ปากกา ผ้าเช็ดหน้า ใบมีดโกน หนังสือพิมพ์ เป็นต้น
2. สินค้าที่ซื้อโดยการเปรียบเทียบ (Shopping Goods)
สินค้าที่ซื้อโดยการเปรียบเทียบ (Shopping Goods) เป็นสินค้าที่ผู้บริโภคจะต้องใช้เวลา ความพยายามในการตรวจสอบ และเปรียบเทียบระหว่างสินค้าด้วยกัน เป็นสินค้าที่ต้องการเสาะแสวงหา ส่วนใหญ่จะมีราคาค่อนข้างสูง และมีขายในร้านค้าต่าง ๆ ที่อยู่กันเป็นกลุ่ม เพื่อให้ผู้บริโภคมีความสะดวกในการเปรียบเทียบ เช่น ร้านขายแว่นตาย่านราชเทวี ร้านขายรองเท้าที่บางลำพู ร้านขายผ้าที่สำเพ็ง ผู้ซื้อจะเปรียบเทียบทั้งตรา ยี่ห้อร้านค้า ที่จำหน่าย ตลอดจนการให้บริการด้านต่าง ๆ
สินค้าที่ซื้อโดยการเปรียบเทียบ สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
(1) สินค้าที่มีความเหมือนกัน (Homogeneous Goods) เป็นสินค้าที่มีลักษณะรูปร่างคล้ายคลึงกัน เช่น รถยนต์ เครื่องปรับอากาศ โทรทัศน์ เครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องพิมพ์ดีด เครื่องซักผ้า ตู้เย็นเป็นต้น สินค้าประเภทนี้ ตรา ยี่ห้อ ซึ่งมีความสำคัญ ทั้งนี้ในการเลือกสินค้าผู้บริโภคจะพิจารณาที่ตรา ยี่ห้อ เพื่อประกันความมั่นใจเกี่ยวกับคุณภาพ ผู้ขาย
สินค้าประเภทนี้ จะต้องทุ่มโฆษณาย้ำตรา ยี่ห้อ และคุณภาพที่เด่นชัดของสินค้า เหนือกว่าตรายี่ห้ออื่นๆ ที่มีความใกล้เคียงกันมาก เพื่อให้ผู้บริโภคตระหนักถึงตรา ยี่ห้อ และมีความนิยมในสินค้านั้นๆ
(2) สินค้ามีความแตกต่างกัน (Heterogeneous Goods) คือสินค้าที่ไม่เป็นมาตรฐาน (Non-Standardize) และไม่เป็นรูปแบบ (Non-Stylistic) ส่วนใหญ่เป็นสินค้าประเภทเสื้อผ้า เครื่องประดับ เครื่องเรือน ซึ่งมีความแตกต่างกันตามคุณภาพ พนักงานขายมีบทบาทมากในการให้ความรู้เกี่ยวกับผู้บริโภคในการเลือกหาสินค้าที่แตกต่างกันให้เหมาะสม สินค้าประเภทนี้ราคาจะไม่ค่อยมีปัญหามากนัก จะอยู่ที่คุณค่าของสินค้า ซึ่งผู้บริโภคชื่นชอบ หรือนิยมมากกว่า
3. สินค้าที่ซื้อโดยการเจาะจง (Specialty Goods)
สินค้าที่ซื้อโดยการเจาะจง (Specialty Goods) เป็นสินค้าที่ผู้บริโภคคิดว่า มีความสำคัญและต้องใช้ความพยายามในการหาซื้อจะต้องเจาะจงตรา ยี่ห้อ เช่น รถยนต์ นาฬิกาโรเล็กซ์ เครื่องตัดหญ้า เครื่องดูดฝุ่น เป็นต้น ผู้บริโภคจะต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการเลือกซื้อสินค้า ถึงแม้ว่าร้านนั้นจะตั้งอยู่ห่างไกลเพียงใดก็จะพยายามไปซื้อหามาให้ได้
สินค้ารายการพิเศษที่ซื้อโดยการเจาะจงนี้ นับว่าเป็นกรณีที่อยู่ในสภาพคล้องจองกันระหว่างความต้องการทั้งทางวัตถุ จิตใจของผู้บริโภค กับคุณค่าของสินค้าที่มีอยู่ ซึ่งตรงกันพอดี ตราของสินค้าจะมีความสำคัญอย่างยิ่ง เช่นเดียวคุณภาพของสินค้า ดังนั้นการมุ่งโฆษณาเพื่อเสริมฐานะ ภาพลักษณ์และเอกลักษณ์ของสินค้าจึงเป็นเรื่องสาคัญ
4. สินค้าทั่วไปที่มิได้เสาะแสวงหาซื้อ (Unsought Goods)
สินค้าทั่วไปที่มิได้เสาะแสวงหาซื้อ (Unsought Goods) เป็นสินค้าที่ผู้บริโภคมิได้อยู่ในความต้องการมาก่อน ทั้งนี้สินค้าที่มีขายอยู่แล้วในตลาด ผู้บริโภคอาจมิได้มีความรู้เกี่ยวกับสินค้าประเภทนี้มาก่อน หรืออาจจะรู้บ้างแต่ไม่ค่อยมีความสนใจที่จะเสาะแสวงหา ตามปกติสินค้าใหม่ๆ ที่ออกมานั้นมักจัดอยู่ในสินค้าประเภทนี้จนกว่าจะได้มีการรณรงค์โฆษณา หรือจัดจำหน่ายออกไป เพื่อให้ผู้บริโภคได้เห็น สินค้าประเภทนี้ ได้แก่ การประกันชีวิต หนังสือสารานุกรม ชุดเครื่องครัว หนังสือสอนภาษาอังกฤษ พร้อม CD สินค้าประเภทนี้เป็นสินค้าที่มิได้เสาะแสวงหา แต่ไม่ได้หมายความว่า ผู้บริโภคจะไม่แสวงหาตลอดไป เพราะผู้บริโภคอาจมีความต้องการแต่ยังไม่มีสิ่งจูงใจในการซื้อขณะนี้
ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค
กลุ่มธุรกิจที่เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคในประเทศไทยนั้น อาจจำแนกตามขนาดธุรกิจได้เป็นกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ ขนาดกลางและขนาดเล็ก
“ระบบบริหารจัดการ Supply Chain ของธุรกิจค้าปลีก กับ ผู้ผลิต สินค้าอุปโภคบริโภค มีการพัฒนาอย่างไรบ้าง…………
แนวทางการพัฒนาระบบการบริหารจัดการโซ่อุปทาน (Supply Chain) ธุรกิจค้าปลีก”
แนวคิดหรือเครื่องมือทางด้านการบริหารจัดการที่สามารถนำมาใช้ เพื่อการพัฒนาระบบโซ่อุปทานธุรกิจค้าปลีก ได้แก่ ระบบที่เรียกว่า Efficient Consumer Response หรือ ECR (อีซีอาร์) ECR เป็นแนวคิดด้านการจัดการสมัยใหม่ในธุรกิจค้าปลีก โดยจะเน้นย้ำความสำคัญของการร่วมมือกันระหว่างสมาชิกในระบบโซ่อุปทานธุรกิจค้าปลีก เพื่อที่จะลดต้นทุนในการดำเนินงาน และสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น เร็วขึ้น ด้วยต้นทุนต่ำลง แนวความคิด ECR นี้ จะต้องอาศัยความร่วมมือกันในการทำกิจกรรมทางการค้าและโลจิสติกส์ ระหว่างผู้ที่มีส่วนในการจัดส่งสินค้าและร้านค้าปลีก โดย ECR มีองค์ประกอบหลัก 3 ส่วนได้แก่ – การจัดการด้านอุปสงค์ (Demand Management) – การจัดการด้านอุปทาน (Supply Management) – การพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยี (Enabling Technology)
- การพัฒนาความร่วมมือระหว่างคู่ค้า (Integrator)
1) การจัดการด้านอุปสงค์ (Demand Management) เพื่อสนองความต้องการ ผู้บริโภค การบริหารงานด้านความต้องการของผู้บริโภคนั้น เป็นตัวแปรที่สำคัญที่จะกำหนดว่าแผนการบริหารงานนี้จะประสบผลสำเร็จหรือไม่ เนื่องจากถ้าความต้องการของผู้บริโภคเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมาโดยไม่คาดคิด จะส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานในส่วนอื่นๆ ทั้งหมด ในการบริหารงานด้านความต้องการของผู้บริโภคนั้น ประกอบไปด้วย 4 ส่วนสำคัญ ดังต่อไปนี้
• พัฒนากลยุทธ์และศักยภาพ (Strategy & Capabilities)
• การบริหารความหลากหลายของสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ (Optimise Assortments)
• การส่งเสริมการขายอย่างมีประสิทธิภาพ (Optimise Promotion)
• วิธีการนำเสนอสินค้าใหม่อย่างมีประสิทธิภาพ (Optimise Introductions)
2) การจัดการด้านอุปทาน (Supply Management) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพใน การดำเนินธุรกิจ การจัดการด้านอุปทานนี้ ถือเป็นส่วนสำคัญไม่น้อยไปกว่าการจัดการด้านอุปสงค์ของผู้บริโภค การปรับปรุงกระบวนการจัดส่งสินค้า/การจัดเก็บสินค้า ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ เพิ่มความน่าเชื่อถือในการจัดการและช่วยลดต้นทุนในส่วนคลังสินค้า ซึ่งการบริหารงานด้านอุปทานนี้ ประกอบไปด้วยส่วนต่างๆ 6 ส่วน ได้แก่
• ระบบการสั่งซื้อสินค้าโดยอัตโนมัติ (Automated Store Ordering)
• การจัดส่งและเติมสินค้าอย่างต่อเนื่อง (Continuous Replenishment)
• การเคลื่อนย้ายสินค้าในคลัง (Cross Docking)
• การประสานงานร่วมกับซัพพลายเออร์ (Integrated Suppliers)
• การดำเนินงานที่เป็นที่วางใจได้ (Reliable Operation)
• การผลิตที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค (Synchronized Production)
3) การพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยี (Enabling Technology) การแลกเปลี่ยนข้อมูลทางการค้า และการสื่อสารกันทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่ช่วยให้การจัดส่งสินค้าและการเติมสินค้าเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เช่นเดียวกับการที่ธุรกิจควรต้องทราบต้นทุนในการดำเนินงานในแต่ละกิจกรรมอย่างถูกต้อง รวมถึงต้นทุนจากการนำเทคโนโลยีมาใช้งาน ในปัจจุบันพบว่า กิจการต่างๆ ที่นำเทคโนโลยีมาใช้ในการติดต่อสื่อสารกับคู่ค้าสามารถปฏิบัติงานได้รวดเร็วขึ้นและลดข้อผิดพลาดจากการดำเนินงาน รูปแบบของระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่มีใช้อยู่ในปัจจุบัน ได้แก่
• การแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Data Interchange : EDI)
• การหักบัญชีและโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Fund Transfer : EFT)
• ระบบรหัสสินค้าและการจัดเก็บฐานข้อมูล (Item Coding and Database Maintenance)
• การหาต้นทุนกิจกรรม (Activity Based Costing : ABC)
4) การพัฒนาความร่วมมือระหว่างคู่ค้า (Integrator) เป็นการประสานความร่วมมือระหว่างคู่ค้าหรือโดยมีเป้าหมายและผลประโยชน์ร่วมกัน ได้แก่ Collaborative Planning, Forecasting and Replenishment (CPFR) เป็นเทคนิคการร่วมมือกัน โดยเป็นการสร้างรูปแบบกระบวนการที่เป็นทางการสำหรับคู่ค้า ทั้ง 2 ฝ่าย ที่ตกลงในการร่วมกันวางแผน พยากรณ์ยอดขาย สอดส่องดูแลความสำเร็จผ่านการเติมเต็มสินค้า จดจำ และตอบสนองต่อสิ่งยกเว้นต่างๆ ที่เกิดขึ้น และความร่วมมืออื่นๆ ได้แก่
การวางแผนสินค้าคงคลังโดยซัพพลายเออร์ (Vender Managed Inventory: VMI)
แนวทางในการปรับปรุงเพื่อพัฒนาโซ่อุปทานและระบบโลจิสติกส์สำหรับธุรกิจค้าปลีก
พัฒนาระบบโซ่อุปทานธุรกิจค้าปลีกของประเทศ แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ การพัฒนาสำหรับธุรกิจค้าปลีก การพัฒนาสำหรับผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค และการพัฒนาหน่วยงานภาครัฐในฐานะผู้ส่งเสริมธุรกิจการค้า (โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและเล็ก)
ข้อเสนอแนะสำหรับหน่วยงานภาครัฐในฐานะผู้กำหนดนโยบายทางเศรษฐกิจและการค้า แนวทางในการปรับปรุงเพื่อพัฒนาโซ่อุปทานและระบบโลจิสติกส์สำหรับธุรกิจค้าปลีก แบ่งการดำเนินงานออกได้เป็น 3 ระยะ ได้แก่
ระยะสั้น
1 สร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับรูปแบบโซ่อุปทานและระบบโลจิสติกส์
2 บริหาร/จัดการเติมสินค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อการบริหารความต้องการของลูกค้าและปริมาณสินค้าคงคลังให้มีความสมดุลย์
3 รวมยอดในการส่งสินค้า เพื่อให้เติมคันรถได้เร็วขึ้น เพื่อผู้ค้าปลีกจะได้ไม่ต้องแบกภาระการเก็บสินค้าคงคลังที่สูง เพื่อทดแทนความถี่ในการสั่งสินค้าที่ต่ำ
4 แลกเปลี่ยนข้อมูลทางการค้าที่รวดเร็วและแม่นยำ โดยเฉพาะข้อมูลสินค้าคงคลังและยอดส่ง/ยอดขายจากคลังสินค้า
5 บริหารการสั่งสินค้าให้คงที่ การที่มียอดสั่งและส่งสินค้าออกจากคลังสินค้าที่คงที่นั้น จะช่วยให้ผู้ผลิตสามารถส่งของได้อย่างต่อเนื่อง และไม่ต้องเก็บสินค้าคงคลังเผื่อไว้เป็นจำนวนมาก
6 ผลิตให้สอดคล้องกับอุปสงค์ จะช่วยลดต้นทุนในการผลิต ช่วยให้มีกระบวนการผลิตที่เชื่อถือได้ และปรับปรุงการวางแผนในการคาดคะเนยอดขายได้
ระยะกลาง
การจัดตั้งทีมงานที่ปรึกษาเพื่อผู้ประกอบการค้าปลีกโดยเฉพาะ เพื่อให้ข้อแนะนำในการดำเนินธุรกิจค้าปลีก รวมทั้งให้ข้อมูลข่าวสารที่จำเป็นต่อผู้ประกอบการ เพื่อที่จะสามารถปรับตัวได้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงในธุรกิจค้าปลีกที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
ระยะยาว
พัฒนาด้านอุปทาน ซึ่งจะนำมาถึงการลดต้นทุนได้มาก ได้แก่ การเติมสินค้าอย่างต่อเนื่อง การผลิตเพื่อให้ตรงกับความต้องการ การโยกย้ายสินค้าในคลัง และการรวมตัวกันระหว่างผู้ผลิตกับผู้ค้าวัตถุดิบ
มาตรการและบทบาทของหน่วยงานภาครัฐในระดับนโยบาย ในการเพิ่มขีดความสามารถทางด้านโซ่อุปทานและระบบโลจิสติกส์
ปัจจุบันภาครัฐเริ่มให้ความสำคัญกับการจัดการด้านโซ่อุปทานและโลจิสติกส์ ในฐานะที่เป็นตัวที่จะเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับประเทศได้ ดังจะเห็นได้จากการที่รัฐบาลมีการกำหนดทิศทางการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศ โดยมีแผนแม่บทโลจิสติกส์ (Strategic Mapping) ซึ่งจะกำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาด้านโลจิสติกส์ของประเทศ เพื่อที่จะให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ในภูมิภาคอินโดจีน โดยจะต้องบรรลุวัตถุประสงค์ 3 ประการด้วยกัน ได้แก่ Responsiveness , Security & Reliability และ Cost Efficiency
องค์ประกอบสำคัญที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาด้านโลจิสติกส์ของประเทศ ได้แก่ • Enabling Environment ปัจจัยที่ช่วยส่งเสริมการพัฒนาด้านโลจิสติกส์ • Logistics Activities ด้านต่างๆ โดยเฉพาะด้านโครงสร้างพื้นฐาน • การพัฒนา Logistics Service Provider • การพัฒนาเทคโนโลยีและฐานข้อมูล การพัฒนาดังกล่าวย่อมที่จะส่งผลดีต่อทุกธุรกิจภายในประเทศ สำหรับในธุรกิจค้าปลีกนั้น แผนนโยบายดังกล่าว เป็นการส่งเสริมธุรกิจค้าปลีกในทางอ้อม ไม่ว่าจะเป็นการผ่อนผันในกฎระเบียบและมาตรการต่างๆ ให้เอื้ออำนวยต่อการพัฒนาด้านโลจิสติกส์มากขึ้น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้มีประสิทธิภาพ การพัฒนาความรู้ความเข้าใจให้แก่บุคลากร การพัฒนาและเชื่อมโยงเครือข่ายข้อมูลต่างๆ ซึ่งธุรกิจค้าปลีกจะได้รับผลดีในแง่ของต้นทุนสินค้าที่อาจจะลดต่ำลง อันเนื่องมาจากระบบโครงสร้างพื้นฐานที่มีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตามแผนพัฒนาดังกล่าว จะเกิดผลเป็นรูปธรรมจะต้องใช้เวลามากกว่า 1 –2 ปี การประสานความร่วมมือกันระหว่างสมาชิกที่อยู่ในโซ่อุปทาน เพื่อปรับปรุงการจัดการโซ่อุปทานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อันเป็นที่มาของแนวคิด Collaborative Planning, Forecasting and Replenishment หรือ CPFR ซึ่งเป็นความร่วมมือในการวางแผน การพยากรณ์ และการเติมเต็มสินค้าของผู้ค้าปลีกและผู้ผลิต
—————————————————————————————————————–
คุณกันติชา บุญพิไล
- คณะกรรมการพัฒนาองค์ความรู้โลจิสติกส์และซัพพลายเชน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
- ผู้ร่วมก่อตั้งและคณะที่ปรึกษา สมาคมไทยโลจิสติกส์และการผลิต
- กรรมการผู้จัดการ บริษัท Asia Corporate Alliance จำกัด และบริษัท Asia Logistics Network จำกัด
- อดีตผู้บริหารโลจิสติกส์ซัพพลายเชน คลังและศูนย์กระจายสินค้าบริษัทชั้นนำ
(ปรับปรุงจากข้อมูลส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาระบบต้นแบบการแลกเปลี่ยนข้อมูลตามมาตรฐานสากลของอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภค กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พ.ศ. 2552 จากที่ผู้เขียนเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชนของโครงการ)
methodological@shortened.loaves” rel=”nofollow”>.…
сэнкс за инфу!!…
decomposition@affianced.undo” rel=”nofollow”>.…
ñýíêñ çà èíôó….
schoolbooks@wetter.six” rel=”nofollow”>.…
good!…
falegnami@pests.indigo” rel=”nofollow”>.…
ñïñ çà èíôó!!…
hydrochemistry@communists.claudes” rel=”nofollow”>.…
ñïñ!…
chambermaid@pretense.ladylike” rel=”nofollow”>.…
ñïñ….
widowed@inquisition.purgatory” rel=”nofollow”>.…
ñïàñèáî çà èíôó….
impersonalized@brute.ciudad” rel=”nofollow”>.…
hello!…
retraction@urbano.diesel” rel=”nofollow”>.…
tnx for info….
enigmatic@equ.eventually” rel=”nofollow”>.…
ñïñ çà èíôó….
daley@ye.multidimensional” rel=”nofollow”>.…
ñýíêñ çà èíôó….
frosts@unrolled.babbled” rel=”nofollow”>.…
thanks!!…
slaked@gage.chains” rel=”nofollow”>.…
thanks for information!!…
how to make a bot…
Get service from the amazing chatbot agency that is currently available and at great prices today!…
bot…
Get Services From the amazing google chatbots currently currently available and reasonably priced today!…
Cheap Usa Proxy…
I found a great……
Proxy Quality…
I found a great……