การปรับตัวของอุตสาหกรรมไทยสู่โครงการอุตสาหกรรมสีเขียว
(Green Adaptation of Thai Industries)
ปิยธิดา ตั้งตระกูลสมบัติ
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
บทนำ
สถานการณ์ของโลกในระยะที่ผ่านมาได้มีการเติบโตทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็ว ซึ่งได้ส่งผลให้เกิดเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมตามมา เนื่องจากทุกๆ กิจกรรมที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่กระบวนการจัดหาวัตถุดิบ การผลิต การขนส่ง การบริโภค และการจัดการของเสีย ล้วนส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทั้งสิ้น ระยะที่ผ่านมาองค์กรต่างๆ มักมุ่งเน้นเฉพาะการลดต้นทุนเพื่อสร้างผลกำไรสูงสุดเป็นหลัก ทำให้เกิดการดำเนินการผลิตที่ไม่มีประสิทธิภาพ มีการนำทรัพยากรธรรมชาติมาใช้ในการผลิตด้านต่างๆ ก่อให้เกิดการปนเปื้อนและสะสมของมลพิษ รวมไปจนถึงพฤติกรรมการบริโภค และใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างฟุ่มเฟือยของประชาคมโลก สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อคุณภาพของสิ่งแวดล้อม และคุณภาพชีวิตของประชาชน
จากปัญหาสิ่งแวดล้อมดังกล่าวส่งผลให้ทั่วโลกหันมาตระหนักถึงความสำคัญของการดำเนินงานขององค์กรภาคธุรกิจมากขึ้น เนื่องจากเป็นสาเหตุหลักของการเกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมเหล่านี้ กระแสแนวคิดเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร (Corporate Social Responsibility: CSR) จึงถูกกล่าวถึงและนำมาใช้มากขึ้น
นอกจากนี้เหตุผลสำคัญอีกประการหนึ่งที่องค์กรต้องคำนึงถึงแนวคิดเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคม คือนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 มีการเปิดการค้าเสรีแทนการใช้ข้อตกลงสินค้าระหว่างประเทศ จึงทำให้เกิดการแข่งขันที่รุนแรงมากยิ่งขึ้น ในแต่ละประเทศมีการนำมาตรการที่มิใช่ภาษี (Non-Tariff Barrier : NTB) มาใช้เป็นข้อกีดกันทางการค้า โดยที่กติกาขององค์กรการค้าเสรี (World Trade Organization : WTO) ได้กำหนดให้ประเทศสมาชิกสามารถใช้มาตรการต่างๆ ในการนำเข้าสินค้าเพื่อคุ้มครองสุขอนามัย และความปลอดภัยของผู้บริโภค ตลอดจนการปกป้องรักษาสิ่งแวดล้อม ดังนั้นจึงมีการนำมาตรการต่างๆ ด้านสิ่งแวดล้อมมาใช้เพื่อช่วยลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการดำเนินงานขององค์กร
ซึ่งในขณะนี้จะเห็นได้ว่าหลายๆ ประเทศทั่วโลกต่างก็กำลังพยายามที่จะปรับตัวเพื่อลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการดำเนินงานของภาคส่วนต่างๆ เพื่อก้าวข้ามการกีดกันทางการค้าด้านสิ่งแวดล้อม ตอบสนองกระแสความต้องการสินค้ารักษ์สิ่งแวดล้อมของผู้บริโภค สร้างความเป็นสีเขียวที่แสดงถึงความตระหนักและรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมให้กับองค์กรธุรกิจ ซึ่งหากองค์กรใดสามารถปรับตัวได้ก็จะส่งผลต่อความได้เปรียบในการแข่งขันทางการค้าด้วย
สำหรับประเทศไทยเองได้มีการตระหนักถึงความสำคัญของประเด็นปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม โดยประเทศไทยได้มีการลงนามให้สัตยาบันรับรองในปฏิญญาโจฮันเนสเบิร์ก เมื่อปี 2545 เพื่อมุ่งสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน และปฏิญญามะนิลาว่าด้วยอุตสาหกรรมสีเขียว เมื่อปี 2552
ทางกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยได้มีการกำหนดยุทธศาสตร์ในการพัฒนาอุตสาหกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อมและสังคม มีการดำเนินการในเชิงรุก มุ่งเน้นการส่งเสริมและพัฒนาภาคอุตสาหกรรมให้เติบโต และพัฒนาอย่างยั่งยืน และเพื่อให้เกิดเป็นรูปธรรมทางกระทรวงอุตสาหกรรมจึงได้เริ่มก่อตั้งโครงการอุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry) ขึ้นโดยมีการเปิดตัวโครงการเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2554 ที่ผ่านมา ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ภาคอุตสาหกรรมมีการประกอบกิจการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและสังคม ซึ่งจะส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมมีภาพลักษณ์ที่ดี น่าเชื่อถือ สามารถอยู่ร่วมกันกับสังคม ประชาชนไว้วางใจ และเกิดการสร้างเศรษฐกิจสีเขียว ซึ่งจะทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวม สีเขียวของประเทศ (Green GDP) มีมูลค่าสูงขึ้นด้วย
สำหรับโครงการฯ นี้จะมุ่งเน้นการส่งเสริมให้สถานประกอบการทั่วประเทศไทยใส่ใจในการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องสู่การเป็น “อุตสาหกรรมสีเขียว” ใน 5 ระดับ ได้แก่ ระดับที่ 1 ความมุ่งมั่นสีเขียว (Green Commitment) ระดับที่ 2 ปฏิบัติการสีเขียว (Green Activity) ระดับที่ 3 ระบบสีเขียว (Green System) ระดับที่ 4 วัฒนธรรมสีเขียว (Green Culture) และระดับที่ 5 เครือข่ายสีเขียว (Green Network)
ในการศึกษาวิจัยนี้ ได้ทำการศึกษาถึงแรงผลักดันภายนอกที่มีผลต่อการปรับตัวของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมไทยเข้าสู่โครงการฯ แรงผลักดันภายในที่ทำให้องค์กรประสบความสำเร็จในการเป็นอุตสาหกรรมสีเขียว และอุปสรรคที่มีผลต่อการปรับตัวสู่การเป็นอุตสาหกรรมสีเขียว ซึ่งผลที่ได้จะสามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการอุตสาหกรรมในไทยให้เข้าสู่โครงการฯ เพิ่มมากขึ้น และพัฒนาตนเองสู่การเป็นอุตสาหกรรมสีเขียวในระดับต่างๆ ตามเป้าหมายที่ทางกระทรวงอุตสาหกรรมตั้งไว้ว่า จะผลักดันโรงงานกว่า 7 หมื่นแห่งทั่วประเทศเข้าสู่อุตสาหกรรมสีเขียวภายใน 5 ปีข้างหน้า ซึ่งหากโรงงานปรับตัวได้จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อสังคม สิ่งแวดล้อม รวมทั้งเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้าของผู้ประกอบการไทยด้วย น
อกจากนี้ยังมีการศึกษาเพิ่มเติมถึงความเข้าใจของผู้ประกอบการในเรื่องโลจิสติกส์สีเขียว (Green Logistics)ว่ามีความสัมพันธ์อย่างไรกับการเป็นอุตสาหกรรมสีเขียว ทั้งนี้เนื่องจากแนวคิดโลจิสติกส์สีเขียวเป็นแนวคิดหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการลดมลภาวะด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงาน ดังนั้นหากผู้ประกอบการมีความรู้ความเข้าใจในแนวคิดนี้ก็จะมีส่วนช่วยให้องค์กรมีแนวทางในการดำเนินงานเพื่อบรรลุสู่การเป็นอุตสาหกรรมสีเขียวอีกทางหนึ่ง
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
- เพื่อศึกษาแรงผลักดันภายนอกที่มีผลต่อการปรับตัวของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมไทยเข้าสู่โครงการฯ
- เพื่อศึกษาแรงผลักดันภายในที่ทำให้องค์กรประสบความสำเร็จในการเป็นอุตสาหกรรมสีเขียว
- เพื่อศึกษาปัญหาและอุปสรรคที่มีผลต่อการปรับตัวสู่การเป็นอุตสาหกรรมสีเขียว
- เพื่อศึกษาความเข้าใจของผู้ประกอบการในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างโลจิสติกส์สีเขียวกับการเป็นอุตสาหกรรมสีเขียว
นิยามศัพท์
โครงการอุตสาหกรรมสีเขียว ในที่นี้แบ่งออกเป็น 5 ระดับตามโครงการฯ คือ ระดับที่ 1 ความมุ่งมั่นสีเขียว ระดับที่ 2 ปฏิบัติการสีเขียว ระดับที่ 3 ระบบสีเขียว ระดับที่ 4 วัฒนธรรมสีเขียว และระดับที่ 5 เครือข่ายสีเขียว
ระเบียบวิธีการวิจัย
ประชากร และกลุ่มตัวอย่าง
ประชากร คือ กลุ่มผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการฯ ณ วันแรกของการเปิดตัวโครงการฯ (4 พฤษภาคม 2554) และได้รับใบรับรองจากโครงการฯ ภายใน วันที่ 29 กันยายน 2554 ซึ่งมีจำนวนรวมทั้งสิ้น 874 โรงงานจากทั่วประเทศ โดยในกลุ่มนี้พบว่าเป็นผู้ประกอบการที่ได้รับใบรับรองจากโครงการฯ แบ่งออกเป็น 3 ระดับ คือ ระดับที่ 1 – ระดับที่ 3 ส่วนใบรับรองจากโครงการฯ ในระดับที่ 4 และระดับที่ 5 ยังไม่มีผู้ที่ได้รับการรับรอง สำหรับกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ใช้วิธีการกำหนดขนาดตัวอย่างของ Krejcie, R.V. และ Morgan, D. W. ซึ่งได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 269 โรงงาน และใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ (Stratified Sampling) โดยได้รับแบบสอบถามกลับคืนมาทั้งสิ้น 108 องค์กร คิดเป็นร้อยละ 40.15
เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัย
1) แบบสอบถาม : แบ่งเป็น 5 ส่วนโดยส่วนที่ 1-4 เป็นแบบสอบถามปลายปิด และส่วนที่ 5 เป็นแบบสอบถามปลายเปิด มีรายละเอียดดังนี้
ส่วนที่ 1 ข้อมูลทั่วไปขององค์กรที่ตอบแบบสอบถาม
ส่วนที่ 2- ส่วนที่ 4 เป็นลักษณะคำถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating scale) โดยกำหนดให้ 1 มีคะแนนน้อยที่สุดจนถึง 7 มีคะแนนมากที่สุด ลักษณะคำถามของแต่ละส่วนจะแบ่งออกเป็นรายด้านหลักๆ ดังนี้
ส่วนที่ 2 เป็นคำถามเกี่ยวกับแรงผลักดันภายนอกที่มีผลให้องค์กรปรับตัวเข้าสู่โครงการฯ โดยแหล่งที่มาของข้อคำถามพัฒนามาจากเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวกับปัจจัยภายนอกที่มีผลต่อการตระหนักถึงสิ่งแวดล้อมขององค์กร รวมถึงเอกสารที่เกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่ผู้ประกอบการจะได้รับจากโครงการฯ คำถามแบ่งออกเป็น 5 ด้านหลัก คือ ด้านการส่งเสริมทางการเงิน ด้านสังคม ด้านการตลาดและลูกค้า ด้านการแข่งขัน และด้านผู้ส่งมอบวัตถุดิบ ในแต่ละด้านหลักจะประกอบด้วยคำถามรายย่อย รวมทั้งสิ้น 18 ข้อ
ส่วนที่ 3 เป็นคำถามเกี่ยวกับแรงผลักดันภายในองค์กรที่ทำให้องค์กรประสบความสำเร็จในการเป็นอุตสาหกรรมสีเขียว โดยข้อคำถามถูกพัฒนามาจากเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยภายในที่ทำให้องค์กรหันมาปรับปรุงการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม แบ่งออกเป็น 3 ด้านหลัก คือ ด้านนโยบายภายในองค์กร ด้านทรัพยากรภายในองค์กร และด้านการเงิน ในแต่ละด้านหลักจะประกอบด้วยคำถามรายย่อย รวมทั้งสิ้น 21 ข้อ
ส่วนที่ 4 เป็นคำถามเกี่ยวกับอุปสรรคที่มีผลต่อการปรับตัวสู่การเป็นอุตสาหกรรมสีเขียว โดยข้อคำถามถูกพัฒนามาจากเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับอุปสรรคที่มีผลต่อการปรับตัวด้านสิ่งแวดล้อมขององค์กร แบ่งออกเป็น 3 ด้านหลัก คือ ด้านอุปสรรคภายในองค์กร ด้านอุปสรรคภายนอกองค์กร และด้านการเงิน ในแต่ละด้านหลักจะประกอบด้วยคำถามรายย่อย รวมทั้งสิ้น 19 ข้อ
ส่วนที่ 5 เป็นลักษณะคำถามปลายเปิดถามเกี่ยวกับความเข้าใจของผู้ประกอบการเรื่องความสัมพันธ์ระหว่าง โลจิสติกส์สีเขียวกับอุตสาหกรรมสีเขียว และถามความคิดเห็นและข้อเสนอแนะเพิ่มเติมเกี่ยวกับความต้องการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงข้อเสนอแนะเพิ่มเติมที่เกี่ยวกับโครงการฯ
2) การตรวจสอบแบบสอบถาม
2.1) แบบสอบถามที่ออกแบบแล้วถูกตรวจสอบความถูกต้อง และความตรงเชิงเนื้อหาของข้อคำถามโดยอาจารย์ที่ปรึกษา และคณะกรรมการสอบงานวิจัยจำนวน 3 ท่าน
2.2) ทำการ Pre-test แบบสอบถามจำนวน 25 ชุด
การเก็บรวบรวมข้อมูล
- เก็บข้อมูลโดยติดต่อเบื้องต้นทางโทรศัพท์และส่งแบบสอบถามจำนวน 269 ชุดทางจดหมายอีเล็กทรอนิคส์ไปให้ผู้ที่รับผิดชอบด้านสิ่งแวดล้อมของแต่ละองค์กร หากไม่ได้รับการตอบกลับภายใน 2 สัปดาห์จะทำการโทรศัพท์และส่งจดหมายอีเล็กทรอนิคส์ติดตามอีกครั้ง
การวิเคราะห์ข้อมูล
ประมวลผลข้อมูลโดยใช้โปรแกรม SPSS และวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้นคือแรงผลักดันภายนอก แรงผลักดันภายใน และอุปสรรค โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และทำการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์หาความสัมพันธ์ระหว่างแรงผลักดันภายนอก แรงผลักดันภายใน และอุปสรรคกับระดับการได้รับใบรับรองจากโครงการฯ โดยใช้การวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุ (Multiple Regression Analysis)
อภิปรายและสรุปผลการศึกษา
จากการศึกษาการปรับตัวของอุตสาหกรรมไทยสู่โครงการฯ พบว่า มีผู้ประกอบการอุตสาหกรรมไทยที่สนใจเข้าร่วมและได้รับใบรับรองจากโครงการฯ แล้วเป็นจำนวนมาก ซึ่งในการปรับตัวขององค์กรเพื่อให้ได้รับใบรับรองจากโครงการฯ ในแต่ละระดับ พบว่า มีแรงผลักดัน และอุปสรรคที่ทำให้องค์กรเหล่านี้ปรับตัวเข้าสู่โครงการฯ ที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับลักษณะโครงสร้างพื้นฐานของแต่ละองค์กร การดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมก่อนเข้าสู่โครงการฯ ความพร้อมภายในองค์กร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเงิน บุคลากรในองค์กร ฯลฯ
ซึ่งจากผลการศึกษาครั้งนี้พบว่า แรงผลักดันที่มีผลต่อการปรับตัวขององค์กรที่ได้รับใบรับรองจากโครงการฯ ในระดับต้น ซึ่งมีแนวโน้มเป็นองค์กรขนาดเล็ก และเพิ่งเริ่มดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม จะเป็นเรื่องการส่งเสริมทางการเงินจากรัฐบาลโดยเฉพาะเรื่องการให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำกับโครงการที่เกี่ยวเนื่องกับการเป็นอุตสาหกรรมสีเขียว และการเรียกร้องจากสังคม สื่อและผู้มีส่วนได้เสียในธุรกิจ ส่วนอุปสรรคที่มีผลต่อการปรับตัวสู่โครงการฯ ขององค์กรเหล่านี้ คือ การขาดความพร้อมทางการเงิน และการที่ผู้บริหารสูงสุดขององค์กรขาดความรู้ ผู้ปฏิบัติงานยังยึดติดอยู่กับการปฏิบัติงานแบบเดิมๆ จึงทำให้องค์กรเหล่านี้มีความต้องการให้ภาครัฐจัดอบรมความรู้เกี่ยวกับการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมให้กับผู้ประกอบการด้วย
ส่วนแรงผลักดันที่มีผลต่อการปรับตัวเข้าสู่โครงการฯ ขององค์กรที่ได้รับใบรับรองจากโครงการฯ ในระดับปลาย โดยเฉพาะระดับที่ 3 (ระดับสูงสุดที่ผู้ประกอบการได้รับจากโครงการฯ ในขณะที่ผู้วิจัยทำการศึกษา) ซึ่งมีแนวโน้มเป็นองค์กรขนาดใหญ่ และมีการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมจนได้รับการรับรองมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมจากหน่วยงานต่างๆ จะเป็นเรื่องของความต้องการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับชุมชน และความต้องการสร้างโอกาสทางการตลาดโดยเน้นประเด็นสีเขียว ส่วนอุปสรรคที่มีผลต่อการปรับตัวขององค์กรเหล่านี้ คือ การที่ภาครัฐไม่มีบทลงโทษด้านสิ่งแวดล้อมที่ชัดเจน รวมถึงเรื่องของความไม่สนิทสนมแน่นแฟ้นของพนักงานภายในองค์กร
สำหรับการศึกษาแรงผลักดันภายในที่มีผลให้องค์กรประสบความสำเร็จได้รับใบรับรองจากโครงการฯ ในระดับปลาย ได้ คือ การที่องค์กรมีนโยบายในการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมที่ชัดเจน การมีบุคลากรที่มีประสบการณ์ในการดำเนินงานภายใต้มาตรฐานต่างๆ การมีบุคลากรที่มีความรู้เกี่ยวกับแนวคิดที่ช่วยในการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม เช่น แนวคิดโลจิสติกส์สีเขียว เป็นต้น การที่องค์กรมีการจัดอบรมความรู้ด้านสิ่งแวดล้อมให้กับพนักงาน และการมีงบประมาณในการได้มาซึ่งข้อมูลของเสียจากการดำเนินงานขององค์กร
นอกจากนี้ในการศึกษาความเข้าใจในเรื่องโลจิสติกส์สีเขียวของผู้ประกอบการ พบว่า กลุ่มองค์กรที่รู้จักโลจิสติกส์สีเขียวมากที่สุด คือ กลุ่มองค์กรที่ได้รับใบรับรองจากโครงการฯ ในระดับที่ 3 ทั้งนี้กลุ่มผู้ตอบแบบสอบถามที่ตอบว่ารู้จักโลจิสติกส์สีเขียวทั้งหมดเห็นว่าโลจิสติกส์สีเขียวมีความสัมพันธ์โดยตรงกับการเป็นอุตสาหกรรมสีเขียว โดยให้ความเห็นว่าโลจิสติกส์สีเขียวเป็นส่วนสนับสนุนที่สำคัญส่วนหนึ่งที่จะทำให้เกิดการเป็นอุตสาหกรรมสีเขียวได้
ในส่วนความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของผู้ตอบแบบสอบถาม พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามจำนวนหนึ่งต้องการให้ภาครัฐสนับสนุนในเรื่องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับรายละเอียดความสำคัญของโครงการฯ หลักเกณฑ์ปฏิบัติ ผลประโยชน์ และการประเมินผลของโครงการในระดับต่างๆ ให้ชัดเจนและทั่วถึงแต่ละท้องถิ่นในส่วนภูมิภาคมากยิ่งขึ้น และควรมีการจัดอบรมความรู้ ให้คำปรึกษา และแนะนำแผนการดำเนินงานให้กับผู้ประกอบการ นอกจากนี้ภาครัฐควรให้ผู้ประกอบการภาคเอกชนเข้าไปมีบทบาทในการวางแผนแนวทางเพื่อการจัดการโครงการฯด้วย ทั้งนี้เพื่อภาครัฐจะได้รับทราบถึงข้อเท็จจริง รวมถึงแนวทางการปฏิบัติที่สอดคล้องกับความเป็นจริงในการปรับตัว และปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น เพื่อให้เกิดเป็นรูปธรรมในการปฏิบัติมากขึ้น
ข้อเสนอแนะ
จากผลการศึกษา สามารถสรุปแนวทางในการส่งเสริมให้องค์กรปรับตัวเข้าสู่โครงการฯ ได้ดังนี้
1) ภาครัฐ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมุ่งส่งเสริมสิทธิประโยชน์ของโครงการฯ ในด้านการเงิน โดยเฉพาะเรื่องการให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำกับองค์กรที่มีความมุ่งมั่นในการปรับตัวสู่การเป็นอุตสาหกรรมสีเขียว โดยอาจเน้นที่องค์กรขนาดเล็กที่ได้รับใบรับรองจากโครงการฯ ในระดับต้น ทั้งนี้อาจให้ผู้ประกอบการเสนอแผนการดำเนินงานขององค์กรที่จะช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและมีความเกี่ยวเนื่องกับการเป็นอุตสาหกรรมสีเขียว พร้อมกันนี้ควรมีการจัดตั้งหน่วยงานที่รับผิดชอบติดตามผลความคืบหน้าในการดำเนินงานตามแผนงานที่องค์กรได้เสนอไว้ด้วย
2) ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรจัดอบรมความรู้ และส่งเสริมแนวคิดการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมในองค์กรอย่างเป็นระบบให้กับผู้ประกอบการ เช่น แนวคิดโลจิสติกส์สีเขียว หรือแนวคิดอื่นๆที่มีแนวทางการปฏิบัติใกล้เคียงกันกับแนวคิดโลจิสติกส์ เป็นต้น นอกจากนี้ในการส่งเสริมความรู้ให้กับผู้ประกอบการ ภาครัฐควรมีเจ้าหน้าที่ให้คำปรึกษา และแนะนำแนวทางการดำเนินงาน โดยมุ่งเน้นองค์กรขนาดเล็กที่ได้รับใบรับรองจากโครงการฯในระดับต้น
ทั้งนี้อาจนำแนวทางการปฏิบัติขององค์กรที่ประสบความสำเร็จในการเป็นอุตสาหกรรมสีเขียวในระดับต่างๆ มาทำเป็นกรณีศึกษา และเผยแพร่ เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินงาน ซึ่งองค์กรขนาดเล็กที่ได้ใบรับรองในระดับต้นๆ จะได้สามารถเลือกแนวทางของกรณีศึกษาที่เหมาะสมกับโครงสร้างองค์กรของตนเพื่อจะได้นำไปประยุกต์ใช้ได้จริง โดยวิธีนี้จะเป็นการช่วยเผยแพร่ ประชาสัมพันธ์ และส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กรที่ได้รับใบรับรองจากโครงการฯ ในระดับอื่นๆ ที่ต้องการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับชุมชน นอกจากนี้ยังเป็นการช่วยสร้างโอกาสทางการตลาดโดยเน้นประเด็นสีเขียวให้กับองค์กรที่เป็นกรณีศึกษาไปในตัวด้วย
3) ภาครัฐควรมีบทลงโทษที่ชัดเจนด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อเป็นการบังคับให้ผู้ประกอบการต้องหันมาใส่ใจการดำเนินงานภายในองค์กรอย่างจริงจัง นอกจากนี้ควรมีการรณรงค์ผ่านสื่อต่างๆ ให้กลุ่มผู้บริโภค ชุมชน สังคม และสื่อ คอยช่วยกันสอดส่องและแจ้งข้อมูลการดำเนินงานขององค์กรที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบ เนื่องจากการเรียกร้องของผู้บริโภค ชุมชน สังคม และสื่อจะส่งผลต่อการปรับปรุงการดำเนินงานขององค์กรเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่ผู้บริโภคมีบทบาทอย่างยิ่งต่อความอยู่รอดขององค์กร สิ่งเหล่านี้จะกระตุ้นให้องค์กรต้องหันมาตระหนักถึงการดำเนินงานของตนเองมากยิ่งขึ้น และการปรับตัวเข้าสู่โครงการฯ จะเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กร ลดปัญหาข้อเรียกร้องจากชุมชน ทำให้ชุมชนมีทัศนคติที่ดี และไว้วางใจในการดำเนินงาน ซึ่งในที่สุดแล้วจะทำให้องค์กรและชุมชนสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน
4) ในขณะที่ผู้วิจัยทำการศึกษาเป็นช่วงแรกของการเปิดตัวโครงการฯ องค์กรที่ได้รับใบรับรองจากโครงการฯ ในระดับสูงสุดจะอยู่เพียงระดับที่ 3 (ระบบสีเขียว) ดังนั้นในอนาคตควรมีการศึกษาเพิ่มเติมถึงแนวทางที่จะช่วยส่งเสริมให้องค์กรสามารถปรับตัวขึ้นสู่ระดับที่ 4 (วัฒนธรรมสีเขียว) และระดับที่ 5 (เครือข่ายสีเขียว) ต่อไป
[...] อ่านต่อ [...]
Get Private Proxy…
I found a great……